เมื่อปลายเดือนมกราคม เราไปเที่ยว คิวชู ที่ญี่ปุ่นมา นับว่าเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต! ถือเป็นการเริ่มต้นอายุ 25 ที่ท้าทายและสนุกสุดๆ และดั๊นนนไปในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเกิดพายุหิมะตกหนักพอดี อากาศหนาวมากและแห้งๆ ฟ้าไม่ค่อยเปิด ขาวโพลน ถ่ายรูปมาไม่ค่อยสดใส ดูเหมือนอะไรๆก็ไม่เป็นใจ แต่กลับซาบซึ้งถึงทรวงในแบบที่จะไม่มีวันลืมได้เลย (ปล. รูปเราถ่ายจาก 3 กล้อง มุมมองภาพ และลักษณะภาพอาจแตกต่างกันไป) เราจองขาไป-กลับ 4280 บาท รวมค่าภาษีสนามบิน โหลดกระเป๋า ค่าหักบัตรเครดิตแล้วอยู่ที่ 5863.43 บาท (ด้วยความไม่รู้ของค่าหักบัตรเครดิต 3 รอบ เหงื่อซ่กเลย) เราเที่ยวคิวชูตั้งแต่ วันที่ 23 – 29 มกราคม นั่นล่ะ เรามีเวลาอยู่คิวชู 7 วัน 6 คืน ที่เหลือก็แค่… เตรียมตัวไปเที่ยวคิวชู ในฤดูหนาวกัน
- สวัสดี…ฟุกุโอกะ (คุณอยู่ที่นี่)
- เยี่ยมชมปราสาท คุมาโมโตะ – Day 1 (Part 1)
- Kumamon Square และถนนสายชอปปิ้ง – Day 1 (Part 2)
- เที่ยวเบบปุ กับประสบการณ์ที่หนาวสุดในชีวิต – Day 2
- ชมบ่อน้ำพุร้อนเมืองเบบปุ ยาวไปไกลถึงยูฟูอิน – Day 3
- ยูฟูอิน เมืองประทับใจ เที่ยวหนึ่งวันก็ไม่หนำใจ – Day 4
- นางาซากิ เมืองแห่งสงครามแต่งดงามฉบับนิยาย – Day 5
- ฮากาตะวันสุดท้าย ช็อปปิ้งให้ตายก็ยังไม่พอ – Day 6
- แชร์ประสบการณ์นอนร้านเน็ตที่ญี่ปุ่น
Day 0: 22/01/2016
คมนาคม
A: จะไปสุวรรณภูมิแบบไม่นั่งแท็กซี่ได้ไหม?
B: รถเมล์ไง
A: รถเมล์เนี่ยนะ?
B: เออ เดี๋ยวพาไป!!
รถเมล์ เหมือนเป็นตัวกลางของการเคลื่อนย้ายเราที่อยู่ในประเทศไทย ให้ไปไกลสู่ประเทศญี่ปุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงรถเมล์จะเป็นเพียง Local bus ภายประเทศ แต่วันนั้น คันนี้ พาเราไปสู่เส้นทางนอกประเทศได้อย่างปลอดภัย ด้วยราคาเพียง 35 บาท (เพิ่งเปิดบทความก็เริ่มออกทะเลไปไกลละ กลับมา ฮึบๆ )
เรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 5 ทุ่มกว่าก็เตรียมเข้าแถวเช็คอินที่ช่อง D ที่เป็นของสายการบิน Jetstar ก็เริ่มเช็คอินได้ตอน 23:30 ระหว่างรอก็เตรียมพาสปอร์ตและเอกสารต่างๆ ซึ่งเราเช็คอินบนเว็บ มาแล้วเพื่อความว่องไว
ขาไปเราไม่ได้โหลดกระเป๋า สะพายเป้ประมาณ 6 กก. (สัมภาระขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กก.) พอถึงคิวก็ชั่งน้ำหนัก ติดสติกเกอร์ carry-on bag เรียบร้อยก็จะได้ Boarding Pass มา ให้เช็คชื่อ ข้อมูลต่างๆและเกตที่ต้องไปขึ้น
หลังจากผ่านจุดเช็คอิน ก็เดินไปจุดสแกนสัมภาระตรวจสิ่งผิดกฎหมาย โดยส่งบัตรประชนชน + Boarding Pass ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ แถวยาวเหยียดดดดด แต่ก็ทำงานกันไวดี เสร็จแล้วก็เดินไปต่อคิว ตม. ตรงนี้คนก็เยอะมากกเช่นกัน
Airplane mode
กว่าจะผ่านแต่ละด่านมาได้ก็ตี 1 ครึ่งแล้ว กลัวไปไม่ทันเวลาปิดเกต ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็เหมือนมันยิ่งไกลออกไปทุกที จาก Gate 1 สู่ Gate 2 วิ่งไปเรื่อยๆ จน.. เห้ยย Gate 15 แล้วเว้ย ถึงแล้ว!
“ตะ..ตะ..แต่ เดี๋ยวนะ ทำไมมันว่างเปล่า ตูออกนอกประเทศครั้งแรกก็จะตกเครื่องเลยหรอวะ” ก้มมองดูนาฬิกา แต่นี้มันยังไม่ถึงเวลาเลยนะ พร้อมกวาดตามองไปรอบๆ “เห้ย! มันมีทางเดินเข้าไปในเครื่องด้วยนี่!” เอ้า วิ่งสิครับวิ่ง
“Welcome” เสียงสวรรค์ ที่แปลว่า เครื่องยังไม่ออก คุณมาถูกทางแล้วค่ะ
ยัง สติยังเตลิดไม่หยุด ทำไมไม่มีใครเลยวะ หรือเรามากันผิดลำ!!! จิตวิตกสุดขีด สถานการณ์เริ่มคลี่คลายเมื่อมีผู้โดยสารเริ่มกรูกันเข้ามาเรื่อยๆ จาก 5 เป็น 10 จาก 10 เป็น 20 และเรื่อยๆจนเต็มลำ
“เราจะถึงฟุกุโอกะประมาณ 09:15 นะพ่อ” เสียงวัยรุ่นสาวที่หันไปพูดกับพ่อในขณะที่เดินเข้ามา ไอ้เราก็ก้มลงมองตั๋ว นี่เราก็ถึงฟุกุโอกะ 09:15 นี่หว่า เวลาเหมือนกัน ลงที่เดียวกัน ถ้าผิดก็ผิดไปด้วยๆกันนะเจ๊ อย่างน้อยก็มีเพื่อนแล้วว่ะ สบายใจและ 5555
แต่มานั่งๆคิดดู ถ้าเรามาผิดลำตั้งแต่ทีแรก แอร์โฮสเตสคนสวยคงไล่ให้เราออกไปตั้งแต่เห็นตั๋วแล้วสินะ ให้ตายเหอะบ้าเอ้ยย 55555
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ก็นั่งมองดูเครื่องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า 1…2…3…4…5 อีก 5 ชั่วโมงเท่านั้นที่จะถึงฟุกุโอกะ
ไม่นานเครื่องก็เริ่มเคลื่อนตัวคงที่อยู่บนท้องฟ้าที่มืดดับสนิท เหมือนกับทุกคนบนเครื่องพร้อมใจกันปิดสวิทซ์ไฟบนหัวเตียงเพื่อต้องการหลับไหล เห็นจะมีก็แต่แสงจากดวงดาวบนท้องฟ้า ราวกับดาวเรืองแสงที่ติดอยู่บนเพดานห้องนอนของลูกน้อย พักกาย พักใจเตรียมตัวตะลุยแดนพระอาทิตย์อุทัยไปด้วยกัน
ไม่ต่างกัน…เราและผองเพื่อนก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้… Settings > Airplane mode
รู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสว่างแล้ว ไม่มีหรอกเสียงคนตีระฆังบอกเวลา ไม่มีหรอกนาฬิกาที่ปลุกให้เราตื่น มีแต่สัญชาตญาณของเลือดรักนักผจญภัยในตัว ที่พร้อมกระโจนออกมาเต็มทนแล้ว
เสียงผู้คนหญิงชายลุกกันขวักไขว่ พากันเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ แต่งหน้า หลายรูปแบบ โซนเวลาที่ญี่ปุ่นต่างกับไทยประมาณ 2 ชั่วโมง และอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงฟุกุโอกะแล้ว ตื่นเต้นจัง ท้องฟ้าสดใส แต่ก็ยังคงมีคนหลับไหลอยู่ในห้วงรัตติกาลที่ไม่มีใครสามารถปลดปล่อยได้ เช่นลุงข้างๆเรานี่
ระหว่างรอว่างๆก็กรอกใบ ตม. และใบศุลกากรญี่ปุ่น รอไว้ก่อนเลย ตอนไปถึงจะได่ไม่เสียเวลา เอ้อ ตรงช่อง Address ควรกรอกนะ ถึงแม้ว่าพักหลายที่ ก็ให้กรอกเป็นชื่อที่พักวันแรกพร้อมที่อยู่และเบอร์โทรให้ครบ มีคนไทยโดนไล่ให้มากรอกจริงๆตรง ตม. ที่แสกนนิ้วเข้าประเทศญี่ปุ่น
“Ladies and Gentlemen… ##%^&$Y^#^”
สิ้นเสียงสาวสวย ใจเราเต้นแทบทะลุออกมา ความรู้สึกมันอธิบายไม่ถูก ความคิดตอนนั้นคือแบบ แพลนที่เราเตรียมไว้มันจะเป็นยังไง จะราบรื่นมั้ย จะเจออุปสรรคอะไรหรือเปล่าวะ โอ้ยย จากความตื่นเต้นกลายเป็นความเครียด พอรู้ตัวว่าเครียดก็พยายามผ่อนคลาย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกินเว้ยย เลือกที่จะมาผจญภัยต่างแดนล่ะ ยังไงก็สู้ตาย ไม่เอาละไม่คิดมาก…
“แต่มันจะหนาวมากเปล่าวะเนี่ย ?”
Day 1: 23/01/2016
แผ่นฟ้าดิน
ลงเครื่องแล้วเราก็เตรียมพาสปอร์ตและเอกสารทุกอย่างที่เตรียมมา ตั้งตาเดินไปหา ตม. ญี่ปุ่นทันที คือก่อนมานี่เครียดมากๆ เพราะอ่านกระทู้พันทิปที่มีคนโดนเข้าห้องเย็นจนจิตตกไปเลย 5555 แต่ผิดคาดแฮะ ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ้ากกกกคำ
ไปได้สวยย pocket wifi ที่เช่ามาก็ใช้งานได้ดี แล้วเราก็เดินต่อไปยังกรมศุลกากรของญี่ปุ่น ตรวจสิ่งของผิดกฎหมาย ขอบอกว่า บริการสุภาพและน่ารักมาก ขอตรวจกระเป๋าเล็กๆน้อยๆ พร้อมคำถามยอดฮิต
“มากี่คน? มากี่วัน? vacation? จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง? แล้ววันแรกล่ะพักที่ไหน?” คำถามเบสิคพวกนี้เราตั้งใจท่องยิ่งกว่าสูตรคูณแม่ 9 ซะอีก ไม่นานก็ผ่านด่านบอสผู้น่ารักมาได้
เราเดินออกประตู ลงบันได้เลือนและตรงดิ่งไปที่เซเว่นไปหาซื้ออะไรสักอย่างเพื่อแตกแบงค์หมื่นเยน เพราะเราต้องหยอดค่า shuttle bus ที่หน้า terminal เพื่อเดินทางเข้าเมือง
วิธีการขึ้นรถบัสของญี่ปุ่น
- นิยมขึ้นจากประตูหลัง กดหยิบตั๋วจากเครื่องจ่ายตั๋วมาเก็บไว้ บนตั๋วจะมีเลขระบุไว้ เราก็ดูแค่ตัวเลขบนตั๋ว แล้วดูราคาบนหน้าจอเท่านั้นแหละ
- ตอนลงเราก็หยอดเหรียญพร้อมตั๋วลงกล่องข้างๆคนขับ และรถทุกคันจะมีเครื่องแลกเหรียญอัตโนมัติอยู่ข้างๆ สอดแบ้งค์แล้วเหรียญก็จะหล่นพ่วงพรูออกมาเอง
- จุดขึ้น Shuttle bus อยู่ที่ Bus Stop หมายเลข 2 หน้า International Terminal (ป้ายนี้จะเป็นจุดจอดรถบัสคันที่จะไปส่งเราที่ข้างๆ JR Hakata)
- นั่งไปประมาณ 5 สถานีก็ถีงแล้ว ถ้ามองจากมอนิเตอร์หน้ารถจะเขียนว่าสถานี Hakata Eki Chikushi-guchi (博多駅筑紫口)(福岡市博多区)
“ฮากาตะ ส ะ-เต-ชั๊นนน?”
“ไฮ้!!!”
และเราก็รู้ตัวว่าขึ้นผิดคัน! เพราะคันนี้เป็นคันที่จอดอยู่ป้ายหมายเลข 1 ซึ่งปลายทางคันนี้ก็ไปจอดที่ Hakata Bus Station (ลานจอดเฉพาะรถบัสล้วนๆ) ความจริงก็ไม่ถือว่าผิดร้ายแรงอะไร แต่จะเดินไปเค้าน์เตอร์ JR ค่อนข้างไกลหน่อย เพราะอยู่คนละตึกกันแต่ติดกัน งงมั้ย? อย่าพึ่งงงเลยนะไหว้ละ 5555 เริ่มหลงตั้งแต่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นเลยวุ้ย
เมื่อหาเคาน์เตอร์ JR สีเขียวๆเจอแล้ว ก็ให้ไปที่ช่อง 1-3 เราต้องทำการเปลี่ยนตั๋ว voucher ที่ซื้อมาจากไทย และจองตั๋วรถไฟ ที่ช่อง 1-3 เนื่องจากเราโหลดแบบฟอร์มการจองรถไฟคิวชูมาเขียนเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนมา พอถึงที่เค้าเตอร์ JR เราก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงข้างๆเช็คก่อนเบื้องต้น หากขบวนยอดฮิตขบวนไหนเต็ม ก็จะถูกขีดฆ่าออก พร้อมยื่นใบจองมาให้เราไปต่อแถวเพื่อออกตั๋วรถไฟจริงๆ ยังไงก็เตรียมแผนสำรองไว้กันด้วยล่ะ
ได้มาแล้วบัตรเบ่งสำหรับเดินทางเที่ยวในคิวชู (รูปนี้เราถ่ายทีหลัง จะเห็นได้ว่าในวันสุดท้าย จะมีสติ๊กเกอร์คาดปิดไว้ว่า บัตร JR นี้หมดอายุแล้ว)
เจ้าหน้าที่จะพ่วงแผ่นพับโชว์เส้นทางการเดินทางและเวลาของรถไฟขบวนต่างๆ สะดวกสบายต่อการจองและการดูเวลามากๆ
เราลุ้นรถไฟอยู่ 2 ขบวน คือ ASO Boy! และ Yufuin No Mori แน่นอนล่ะ ผิดหวังไปสิ ASO Boy! เต็มแล้วเสียใจมากกกกก แต่โชคยังเข้าข้าง Yufuin no Mori ยังไม่เต็ม และเราก็ได้ตั๋วจองมาทั้งหมดภายในเวลาเดียว เจ้าหน้าที่ก็จะยื่นตั๋วให้พร้อมชี้ให้ดูและทวนความถูกต้องของตั๋วอย่างน้อบน้อมและละเอียด หลังจากนั้นจงเก็บไว้ให้ดีล่ะ หายขึ้นมาก็ต้องเสียเวลาไปจองใหม่
ในเมื่อไม่ได้ขึ้นรถไฟ Aso Boy! ก็ขอแอบถ่ายรูปกับเจ้า Kuro เป็นของสมน้ำหน้าคุณแทนแล้วกัน ต่อด้วยซื้อของฝากจากญี่ปุ่นกลับมาฝากเพื่อนพ้อง แล้วพบกับการเดินทางไปเที่ยวคุมาโมโตะได้ในตอนต่อไปเลยน้า
แผ่นฟ้าที่กว้างใหญ่ ผืนดินที่ยาวไกล หนทางข้างหน้าจะเป็นยังไง เราพร้อมรับมันด้วยหัวใจ แล้วนำกลับไทยมาให้ได้มากที่สุด…การเดินทางท่องเที่ยวที่คิวชูเหนือเริ่มขึ้นแล้ว
4 thoughts on “คิวชูฤดูหนาว สวัสดี…ฟุกุโอกะ”
Comments are closed.